วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

มารู้จักประโยชน์ของขมิ้นชันกันเถอะ ..



ขมิ้นชันมีประโยชน์และสรรพคุณหลายประการ ดังนี้
ขมิ้นชันมีวิตามิน เอ, ซี, อี ที่เข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำงานพร้อมกันทั้ง 3 ตัว จึงมีผลทำให้ช่วยลดไขมันในตับ สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ทำความสะอาดลำไส้ เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ ต้านอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็งตับ สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง กำจัดเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารที่รับประทานเข้าไปและสะสมในร่างกายเตรียมก่อตัวเป็นเซลล์มะเร็ง ช่วยขับน้ำนมสำหรับสตรีหลังการคลอดบุตรได้ดี รองมาจากการกินหัวปลี ใช้รับประทานเหง้าของขมิ้นชัน โดยการปอกเปลือกหรือตากแห้งแล้วบดเป็นผงใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง และแบบผงบรรจุแคปซูลเพื่อความสะดวกแก่การรับประทาน
ถ้ากินขมิ้นชันสดๆ ต้องปอกเปลือกก่อน แต่ถ้าทำขมิ้นบดเป็นผง ต้องนำขมิ้นมาต้มน้ำให้เดือดสักพักหนึ่ง เสร็จแล้วตักออกนำมาผึ่งให้เย็นหั่นเป็นแว่นเล็กๆ ตากแดดจนแห้ง อาจจะตากหลายครั้ง แล้วถึงจะนำมาบดให้เป็นผง ถ้าใช้เครื่องอบให้ขมิ้นแห้ง ความร้อนไม่ควรเกิน 65 องศา ถ้าความร้อนเกินอาจเกิดสารสเตรอยด์ได้ กินขมิ้นชันให้เป็นอาหาร ไม่ใช่กินเป็นยา ต้องกินให้สนุกใช้ปรุงอาหารกินบ้าง หุงข้าวก็ใส่ขมิ้นชันได้ ทอดปลาคลุกขมิ้นชันก็ดี ทำให้หอมน่ากิน และยังได้ประโยชน์อีกด้วย เพราะตัวขมิ้นจะช่วยย่อยไขมันจากน้ำมันที่ใช้ทอดปลาได้เป็นบางส่วน
กินขมิ้นชันให้ตรงเวลา ที่อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเปิดการทำงานในช่วงเวลานั้น จะได้ผลตรงกับประเด็นที่ต้องการจะบำรุง หรือแก้ไขฟื้นฟูอวัยวะ รับประทานเพียง 1 แคปซูลเท่านั้น จะออกฤทธิ์มากกว่าเวลาอื่นถึง 40 เท่าตัว แต่ถ้ามีปัญหาหลายอย่างก็รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล ทุก ๆ 2 ชั่วโมง ถ้ารับประทานขมิ้นจำนวนมาก ส่วนที่เหลือจะทำหน้าที่ขับไขมันในตับ
กินขมิ้นชันตามเวลาต่อไปนี้จะได้ผลโดยตรงกับอวัยวะส่วนนั้น
เวลา 03.00 - 05.00 น. ช่วยบำรุงปอด ป้องกันการเป็นมะเร็งปอด ช่วยทำให้ปอดแข็งแรง ช่วยเรื่องภูมิแพ้ของจมูกที่หายใจไม่สะดวก และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิวหนัง
เวลา 05.00 - 07.00 น. ช่วยแก้ปัญหาลำไส้ใหญ่ ถ้าเคยกินยาถ่ายมาเป็นเวลานาน ให้กินขมิ้นชันเวลานี้ ขมิ้นชันจะฟื้นฟูปลายประสาทของลำไส้ใหญ่ แต่ต้องกินเป็นประจำ ถึงจะทำให้ลำไส้ใหญ่บีบรัดตัวเพื่อขับถ่ายอย่างปกติ แก้ปัญหาลำไส้ใหญ่กลืนลำไส้เล็ก หรือลำไส้ใหญ่มีปัญหาถ่ายมากเกินไปหรือถ่ายน้อยเกินไป ถ้าลำไส้ใหญ่ไม่มีปัญหา ให้กินขมิ้นชันพร้อมกับสูตรโยเกิร์ต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว หรือน้ำอุ่นก็ได้ จะไปช่วยล้างผนังลำไส้ที่มีหนวดเป็นขนเล็กๆ อยู่เป็นล้านๆ เส้น ซึ่งขนเหล่านี้มีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารเพื่อไปสร้างเม็ดเลือด ขมิ้นชันจะช่วยล้างให้สะอาดได้ ก็จะไม่ค่อยมีขยะตกค้าง จึงไม่เกิดแก๊สพิษที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว และจะไม่ค่อยเป็นริดสีดวงทวาร ไม่เป็นมะเร็งลำไส้
เวลา 07.00 - 09.00 น. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องกระเพาะอาหาร เกิดจากการกินข้าวไม่เป็นเวลา ท้องอืด จุกแน่น ปวดเข่า ขาตึง ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันความจำเสื่อม
เวลา 09.00 - 11.00 น. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำเหลืองเสีย มีแผลที่ปาก อ้วนเกินไป ผอมเกินไปที่เกี่ยวกับม้าม ลดอาการของโรคเก๊าต์ ลดอาการเบาหวาน
เวลา 11.00 - 13.00 น. สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ มีหรือไม่มี ถ้ากินขมิ้นชันเวลานี้ จะช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง ถ้าเลยเวลา 11.00 น.ไปแล้ว ขมิ้นชันจะไปทำงานที่ตับ แล้วตับจะส่งมาที่ปิด ปอดจะส่งไปยังผิวหนัง แต่ส่วนมากมาไม่ถึงเพราะกินขมิ้นชันน้อยเกินไป อวัยวะส่วนอื่นจะดึงไปใช้งานก่อนเลยมาไม่ถึงผิวหนัง จึงต้องลงขมิ้นชันทางผิวหนังช่วยอีกทางหนึ่ง
เวลา 15.00 - 17.00 น. ช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง แก้ปัญหาเรื่องตกขาวของสตรี และควรกินน้ำกระชายเวลานี้ด้วย จะช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงือกออกจะดีมาก เพราะร่างกายต้องการขับสารพิษให้ได้มากที่สุดในเวลานี้
กินเหลือเลยเวลาจากช่วงนี้ จนไปถึงการกินก่อนนอน ขมิ้นชันจะไปช่วยเรื่องความจำให้ความจำดี ตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้าจะไม่ค่อยอ่อนเพลีย และช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น กินขมิ้นชันมากๆ จะช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ผิวหนังไม่เป็นผดผื่นคันง่ายๆ และช่วยขับไขมันในตับ ถ้ากินปริมาณมาก
กินขมิ้นชัน แบบผงหรือบรรจุแคปซูล ควรเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่มีมาตรฐานและสะอาดเชื่อถือได้ ไร้สารเคมีไม่มี สเตียรอยด์ที่เกิดจากการอบแห้งด้วยความร้อนเกิน 65 องศา ควรตัดสินใจเอง เพราะเราจะต้องกินทุกวัน ก็ควรกินให้ปลอดภัยและสบายใจ ถ้ากินขมิ้นชัน แบบผง 1 ช้อนชา ใช้ผสมน้ำ 1 แก้ว (ไม่เต็ม) ขมิ้นชันจะไหลผ่านส่วนต่างๆ ตั้งแต่
- ผ่านลำคอ ช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ลำคอ ไปผ่านปอดช่วยดูแลปอดให้หายใจดีขึ้น ลดความชื้นของปอด
- ผ่านม้าม ก็ลดไขมัน และปรับน้ำเหลืองไม่ให้น้ำเหลืองเสีย
- ผ่านกระเพาะอาหาร ก็จะรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
- ผ่านลำไส้ ก็สมานแผลลำไส้
- ผ่านตับ ก็ไปบำรุงตับ ล้างไขมันในตับ
ขมิ้นชันยังช่วยดูแลเซลล์ต่างๆ ที่ฉีกขาดก็จะไปเชื่อมให้ และไปกวาดขยะ กวาดไขมันมากองไว้ ถ้าจะอุ้มขยะไปทิ้งโดยการถ่ายก็กินอาหารปกติ เช่น พืช ผัก ผลไม้ ที่มีกากใย หรือกินน้ำลูกสำรอง (พุงทลาย) หรือดื่มน้ำสะอาด เพื่ออุ้มไขมัน อุ้มแก๊สไปทิ้ง
คนธาตุเบา แสดงว่ามีการระคายเคือง อักเสบ เป็นแผลเรื้อรังบางอย่างที่ผนังลำไส้เป็นอาจิณ
คนธาตุหนัก แสดงว่าปลายประสาทลำไส้ใหญ่เสื่อม อาจเกิดจากการกินยาถ่าย หรือยาระบาย เป็นประจำ หรือดื่มน้ำน้อย ทั้งธาตุเบาและธาตุหนักไม่ดีทั้งคู่ ถ้าเป็นอย่างนี้แสดงว่ามีปัญหาที่ลำไส้ และปลายประสาทลำไส้ใหญ่ผิดปกติ หากปล่อยไว้วันข้างหน้า จะมีโอกาส (เสี่ยงค่อนข้างมาก) เป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ ฉนั้น ควรกินขมิ้นชันเป็นประจำ เพื่อค่อยๆ ปรับให้เข้าที่แล้ว จะกลับมาถ่ายเป็นปกติ

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ผักพื้นบ้านของไทย

ผักพื้นบ้านของไทย ก็มีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพร ลดละดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย

มะระ คนไทยใช้มะระขี้นก ผลดิบแก่ที่ยังไม่สุกและยอดอ่อน รับประทานเนื้อมะระเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก มะระจีนก็นำมาใช้ประกอบอาหารเป็นแกงจืดหรือผัดผลของมะระจีนที่โตเต็มที่แล้วนำมาคั้นใช้ดื่มลดน้ำตาลในเลือดได้

ตำลึง เป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหารสูงประกอบด้วยวิตามินต่างๆ แร่ธาตุ แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ใบและเถาว์ตำลึง มีฤทธิ์ ลดน้ำตาลในเลือดได้ โดยนำมาคั้นเป็นน้ำดื่ม

เตยหอม ใบเตยสดเป็นยาบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น ลดกระหายน้ำ รากนำมาต้มกับน้ำ ใช้แก้เบาหวานได้

ผักอื่นๆ ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ได้แก่ กระชาย กระเทียม ยอดแค ผักกระเฉด แครอท ใบยอ ใบย่านาง ใบชะพลู ผักกูด ผักชีลาว ใบบัวบก ผักหวาน เป็นต้น

ผักต่างๆอุดมด้วยเส้นใยอาหาร ทำให้อิ่มง่าย ได้แคลอรี่ต่ำ จึงช่วยป้องกันและรักษาโรคเบาหวาน ขับไขมันส่วนเกิน เป็นประโยชน์ทั้งสำหรับผู้ป่วยและไม่ป่วย

ใบมะยม คนที่เป็นเบาหวานมานานให้กินวันละประมาณ 5-8 ก้าน (1 ก้านจะมีประมาณ 20 ใบ) โดยกินสด ๆ กินกับเมี่ยงคำ หรือนำมาจิ้มน้ำพริก หรือเป็นผักแกล้มกับส้มตำก็ได้ สรรพคุณ จะไปล้างน้ำตาลในเลือด ถ้าท่านจะทดลอง ให้เจาะเลือดตรวจเบาหวานก่อน แล้วกินใบมะยมประมาณ 1 สัปดาห์ แล้วไปตรวจเลือดซ้ำ จะพบว่าระดับน้ำตาลลดลง 20-50 %

สมุนไพรพลูคาว หรือผักคาวตอง

สมุนไพรพลูคาว หรือผักคาวตอง
อโรคยา ปรมา ลาภาการ ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาด้วยประการทั้งปวง
(ที่มา จากหนังสือ ผักคาวตอง(พลูคาว) สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์)ชื่ออื่น ๆ
: ผักก้านตอง ผักคาวตอง ผักคาวทอง พลูแก ชื่อสามัญ : Chameleon
“พลูคาว” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Houttuynia cordata Thunb เป็นพืชสมุนไพรประจำถิ่นที่พบมากในแถบภาคเหนือของไทย และยังพบในบริเวณเทือกเขาหิมาลัย อินเดีย เรื่อยมาจนถึงจีน เวียดนาม ลาว เกาหลี และญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นพืชตระกูลเดียว กับพลู ชอบขึ้นในพื้นที่ชื้นแฉะ มีร่มเงาเล็กน้อยและสภาพอากาศเย็น โดยจะมีลักษณะแตกต่างจากพลู คือ ที่ใต้ใบของ พลูคาวจะ มีสีแดงอ่อนไปจนถึงสีแดงเข้ม ชาวบ้านในเขต ภาคเหนือจะเรียกว่า “ผักคาวตอง” เนื่องจากต้นและใบจะมี กลิ่นคาว รุนแรงคล้ายคาวปลา ซึ่งส่วนใหญ่นิยมนำใบมาเป็นผักเคียงใช้บริโภคสดกับอาหารประเภทลาบหรือหลู้ ส่วนจีน จะใช้พลูคาวในตำรับยาหลักนับเป็นสมุนไพรชั้นสูง
สรรพคุณ : ใบ แก้กามโรค ทำให้น้ำเหลืองแห้ง แก้เข้าข้อ แก้โรคผิวหนังทุกชนิด ทำให้แผลแห้ง


ทั้งต้น ขับปัสสาวะ แก้บวมน้ำ แก้ฝีบวมอักเสบ แก้ปอดอักเสบ แก้หลอดลมอักเสบ แก้ไอ แก้บิด แก้โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ แก้หูชั้นกลางอักเสบ แก้ริดสีดวงทวาร ไม่ระบุส่วนที่ใช้ ใช้พอกฝีดูดหนองหัวฝี เรียกเนื้อฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา : ยับยั้งเอนไซม์ Cyclooxygenase ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ยับยั้งเอนไซม์ HMG-CoA reductase มีผลต่อการจับของ cholecystokinin receptorยับยั้งเอนไซม์ angiotensin converting enzyme ยับยั้ง glutamate-pyruvate transaminase
ต้านไวรัส ต้านเชื้อรา ยับยั้งเนื้องอก ต้านการแพ้ ยับยั้งการหลั่งฮีสตามีน กระตุ้นผิวหนังให้เกิดการแพ้ช้าลง กระตุ้นเซลล์น้ำเหลือง ลดไข้ กระตุ้นการทำงานของ phagocyte ลดการซึมผ่านของหลอดเลือดฝอย ลดการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านพิษงู ต้านความเป็นพิษ ยับยั้งการขับไขมันจากต่อมไขมันของผิวหนัง ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ยับยั้งการออกซิเดชั่น ยับยั้งโรคเบาหวาน ขับปัสสาวะ ยับยั้งการเจริญของพืช กระตุ้นการเจริญของรากพืช ทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่ม
เมื่อเราพบว่าร่างกายเราไม่แข็งแรง ภูมิต้านทานต่ำ วิธีที่จะเสริมภูมิคุ้มกัน มีหลักการสองประการใหญ่ ๆ คือ ลดภาระงานของระบบภูมิต้านทาน และเสริมสร้างภูมิต้านทาน การเสริมสร้างภูมิต้านทานทำได้โดยรับประทานสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น โปรตีน ผัก ผลไม้ ธัญพืชฯ เพื่อให้ร่างกายนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการสร้างเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันและการรับประทานสมุนไพรกลุ่มที่สามารถกระตุ้นภูมิต้านทานให้ร่างกายได้ ซึ่งพบว่ามีสมุนไพรหลายชนิดที่ออกฤทธิ์กระตุ้นภูมิต้านทานได้ เช่น ฟ้าทลายโจร คาวตอง เป็นต้น (ตาม พรบ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ปีพ.ศ. 2542) ก็ช่วยลดภาระงานภูมิคุ้มกันในทางเดินอาหารและกระตุ้นภูมิต้านทานได้ดี
ตายนาทีละ 4 คน เป็นการตายที่ทรมานที่สุดกับความเจ็บปวดกับโรคร้าย นั่นคือ "มะเร็ง" ซึ่งสำนักงานสถิติได้บันทึกไว้ว่า โรคนี้คร่าชีวิตคนไทยในชาติไปนานชั่วนาตาปี คณะวิจัยทางการแพทย์ได้พยายามหาหนทางที่จะลดความสูญเสียและเร่งค้นคว้ายารักษาโรคมะเร็ง แต่ติดขัดปัญหาค่าใช้จ่ายที่สูงมากรวมทั้งเครื่องมือต่าง ๆ ที่มีราคาแพง แต่คณะวิจัยดังกล่าวสามารถค้นพบสมุนไพรไทยโบราณชนิดหนึ่งมีสารต่อต้านมะเร็ง สมุนไพรชนิดนี้มีชื่อว่า " คาวตอง(Houttuyniardata Thund) เป็นพืชสมุนไพรที่มีอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย เป็นพืชตระกูลเดียวกับพลู แต่มีลักษณะแตกต่างกันที่ใต้ใบจะมีสีแดงตั้งแต่อ่อน ๆ ไปจนถึงแดงเข้ม เมื่อนำมาใส่มือขยี้เบาเบา จะมีกลิ่นเหมือน กลิ่นคาวปลาออกมารุนแรงมาก




คาวตอง มหัศจรรย์ แห่งสมุนไพรไทย ปัจจุบันโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายของมนุษย์ จำแนกตามสภาพได้ดังนี้.-


1.โรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกาย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิต ความจำเสื่อม โรคหัวใจ เส้นเลือดตีบ เหน็บชา โลหิตจาง อ่อนเพลีย ไมเกรน อัมพฤต อัมพาต โรคกระเพาะ โรคลำไส้ วัยทอง อาการปวดเมื่อยตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ประจำเดือนมาไม่ปกติ โรคเสื่อมสมรรถภาพ


2.โรคที่เกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกาย เช่น มะเร็ง ภูมิแพ้ หอบหืด ไขข้ออักเสบ โรคตับแข็ง ไตวาย ปอดอักเสบ ทอลซิล ริดสีดวงทวาร ไทรอยด์ รูมาติซั่ม นิ่ว โรคผิวหนัง สะเก็ดเงิน กลาก เกลื้อน ลมพิษ สิว ฝ้า


3.โรคที่เกิดจากการได้รับเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อรา เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคภูมิแพ้ตัวเอง ไข้เลือดออก ไขหวัดใหญ่ วัณโรค ไวรัสตับอักเสบ งูสวัด กามโรค ไข้หวัดนก โรคซาร์ มาลาเรีย ท้องร่วง โรคทั้งสามประการข้างต้นเป็นโรคที่ต้องใช้ระยะเวลา เงินทองจำนวนมากในการรักษา แล้วก็รักษาไม่หายด้วย และในที่สุดก็ต้องเสียชีวิตลง สมุนไพรคาวต้องช่วยท่านได้ เพราะมีผลการวิจัยในหลายประเทศว่ามีส่วนประกอบสำคัญในการบำรุงร่างกายให้สุขภาพแข็งแรง ช่วยป้องกันและบรรเทาได้ทุกโรค โดยเฉพาะผลงานการวิจัยผู้ป่วยโรคมะเร็ง ภูมิคุ้มกันบกพร่อง (HIV.) ผู้ป่วยที่เข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมากที่มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรงดีขึ้น สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างคนปกติ อีกทั้งสถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ฯ ได้เผยแพร่สรรพคุณของสมุนไพรคาวตองจนเป็นที่ยอมรับ และเป็นที่ต้องการของผู้ที่รักสุขภาพ อยากมีร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส และหายป่วยจากโรคต่างๆ ทำให้เกิดกระแสการบริโภคคาวตองขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงได้รับการยอมรับว่าเป็นสมุนไพรมหัศจรรย์แห่งประเทศไทยอย่างแท้จริง.
ภูมิภาคอินโดจีน


ใช้ทั้งต้น บรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร ขับปัสสาวะ แก้อาการอักเสบ แก้ลมพิษ ใบ ใช้แก้บิด นอกจากใช้ใบเป็นผัก แล้วยังใช้ต้มกับปลาหรือไข่เป็ดช่วยดับกลิ่นคาว ในประเทศจีน มีการใช้ผักคาวตองเป็นส่วนประกอบในตำรับยาผงสำหรับรับประทาน ใช้ในการรักษา โรคมะเร็งทางเดินอาหารและมะเร็งทางเดินหายใจ รวมไปถึงเนื้องอกในรังไข่ ( oophoroma) มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเต้านม ใช้ผักคาวตองเป็นส่วนประกอบในตำรับยาสำหรับรักษามะเร็งปอด ส่วนประกอบในตำรับจีน ซึ่งกล่าวว่ามีสรรพคุณในการกำจัดความร้อนและสารพิษเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และใช้รักษามะเร็งหลอดอาหาร ใช้ผักคาวตองเป็นส่วนประกอบในตำรับยารับประทาน สำหรับยับยั้งและทำลายเซลล์มะเร็ง และเพิ่มภูมิต้านทาน ใช้เป็นส่วนประกอบในตำรับยาในรูป ointment สำหรับใช้ทาภายนอกรักษาเต้านมอักเสบ และมะเร็งเต้านม


ใช้ผักคาวตองเป็นส่วนประกอบในตำรับยาทั้งในรูปแบบที่ใช้รับประทาน และเป็นยาฉีดสำหรับรักษามะเร็งกระเพาะ อาหาร


ใช้ผักคาวตองเป็นส่วนประกอบในตำรับยาจีนสำหรับรักษามะเร็ง และรักษาอาการข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ รังสีรักษา และเคมีบำบัด


และใช้ผักคาวตองเป็นส่วนประกอบในตำรับยาน้ำรับประทานรักษาโรคมะเร็งลำไส้ส่วน rectum มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งหลอดเลือด และมะเร็งเต้านม ในประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น และอินเดีย ใช้ทั้งต้นเป็นยาลดไข้ ขจัดสารพิษ( detoxicant) รักษาแผล ในกระเพาะ และอาการอักเสบ รวมทั้งรักษาพิษแมลงกัดต่อย ในประเทศเกาหลียังใช้ผักคาวตองในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง (arterosclerosis ) และมะเร็ง ในเนปาล ใช้ลำต้นใต้ดิน ในตำรับยาที่เกี่ยวกับโรคของสตรี ใช้ทั้งต้นเป็นยาช่วยย่อย บรรเทาอาการ อักเสบ และขับระดู ใบใช้ในยารักษาโรคผิวหนัง แก้บิด และริดสีดวงทวาร สำหรับประเทศไทย มีการใช้ประโยชน์ผักคาวตองในยาแผนโบราณ และยาพื้นบ้าน พื้นเมืองมานานแล้ว โดยใช้ ใบเป็นยาแก้กามโรค ทำให้น้ำเหลืองแห้ง แก้โรคผิวหนัง แก้พิษฝี แก้ริดสีดวง ชาวเขาเผ่าม้ง ใช้ผักคาวตอง เป็นยารักษาไข้มาลาเรีย


อย่างไรก็ตามมีบันทึกตำรับยาแผนโบราณที่มีพืชนี้ภายใต้ชื่อ คาวตองหรือพลูแกเป็นส่วน ประกอบอยู่หลายขนาน เช่น ตำรับยาแก้น้ำมูกพิการ ยาแก้ขัดเบา ยาแก้ซางโจร ยาแก้น้ำมันแก้ซางขึ้นปากและลิ้น แก้ตานซางและตานขโมย ยาชื่อมหาระงับพิษ ยาแก้พิษหละจับหัวใจ ยาแก้ไข้ ยาแก้ลมปะกัง เป็นต้น ผลการตรวจสอบทะเบียนตำรับยาแผนโบราณของไทย ในช่วงประมาณ 40 ปีที่ผ่านมาปรากฎการใช้ ผักคาวตองในสูตรตำรับยาแผนโบราณที่ กระทรวงสาธารณสุขรับขึ้นทะเบียนจำนวน 19 ตำรับ นอกจากนี้ ภาคเหนือและอีสาน ใช้เป็นอาหารประเภทผักจิ้มน้ำพริก หรือกินกับลาบ
ข้อควรระวัง ถ้าบริโภคมากเกินไป จะทำให้หายใจสั้นและถี่ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายได้
จากการตรวจสอบทะเบียนตำหรับยาแผนโบราณของไทยที่ผ่านมาปรากฏการใช้ "คาวตอง" ในสูตรตำรับยาแผนโบราณที่ "กระทรวงสาธารณสุข" ขึ้นทะเบียนจำนวน 19 ตำรับ กลุ่มอาการของโรคที่ผู้บริโภคยืนยันว่าสุขภาพดีขึ้นหลังดื่ม "น้ำสมุนไพรคาวตอง" ได้แก่# กลุ่มโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งปอด , ลำไส้ , มดลูก และเต้านม# โรคอ้วน เช่น อ้วน , ไขมันในเลือดสูง , เบาหวาน , ไต# กลุ่มโรคระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ธัยรอยด์เป็นพิษ , เอสแอลดี , ภูมิแพ้ , ไซนัส# โรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง , เส้นเลือดตีบ , ตัน , แตก# โรคระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูก , กระเพาะอาหารอักเสบ ,ริดสีดวง# โรคระบบประสาท-สมอง เช่น เส้นเอ็นยึด , ชาตามแขนขา ,อัมพฤกษ์-พาต# โรคระบบกระดูก-กล้ามเนื้อ เช่น ปวดเมื่อยตามร่างการ , ข้อ , กระดูก , เกาต์# กลุ่มอาการทางผิวหนัง เช่น เชื้อราที่หนังศีรษะ , สะเก็ดเงิน , โรคผิวหนัง

สูตรทำน้ำพลูคาว สด 1 แก้ว ผักคาวตอง 30 กรัม ( 7-8 ต้น ) น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา เกลือป่นเล็กน้อย น้ำต้มสุก (น้ำสะอาด 240 ซีซี ) ปั่นส่วนผสมให้เข้ากัน ดื่มวันละ 1 ครั้งตอนเช้า ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้นกัน



วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สมุนไพรไทยพื้นบ้านที่บรรเทาอาการไข้หวัด

สมุนไพรไทยพื้นบ้านที่บรรเทาอาการไข้หวัด มี 8 ชนิด ที่นิยมใช้เพื่อบรรเทาอาการไข้หวัด ลดอาการไอ ลดการระคายเคืองคอ จากเสมหะ ได้แก่ ขิง ดีปลี เมล็ดเพกา มะขามป้อม มะขาม มะนาว มะแว้งเครือ และมะแว้งต้นซึ่งสมุนไพรเหล่านี้มีอยู่ตามพื้นบ้านทุกภาคอยู่แล้ว มีสรรพคุณต่างกัน สามารถเลือกใช้ได้ตามอาการ.
สมุนไพร : ไข้หวัดใหญ่ และไข้หวัดนก มี 2 กลุ่มใหญ่
1. สมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Herbs with anti-influenza activity) ประกอบด้วยสมุนไพร
1.1 พลูคาว / ผักคาวตอง (Houttuynia cordata)
จากการศึกษาในหลอดทดลอง น้ำมันระเหยการกลั่นพลูคาวสดมีฤทธิ์ต้านไวรัส ไข้หวัดใหญ่ เริม (Herpes simplex virus type 1) เอชไอวี (HIV-1) โดยสารสำคัญในน้ำมันระเหยจากพลูคาวที่มีฤทธิ์ต้านไวรัสดังกล่าว ได้แก่ methyl n-nonyl ketone, laurly aldehyde, capryl aldehyde
1.2 ทองพันชั่ง (Rhinacanthus nasutus)
ส่วนเหนือดินของทองพันชั่งมีสารสำคัญที่มีฤทธิ์ต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A อย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ Rhinacanthin E และ Rhinacanthin F
1.3 Epigallocatechin (EGCG)
EGCG เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากที่สุดในชาเขียว EGCG ขนาดต่ำในหลอดทดลองมีฤทธิ์ ยับยั้งไม่ให้ไวรัสไข้หวัดใหญ่ทั้งชนิด A และ B เข้าเซลล์& ลดการติดเชื้อของเซลล์เพาะเลี้ยงจากไตสุนัขได้อย่างมีนัยสำคัญ
1.4 บีทรู้ท (Beta vulgaris)
บีทรู้ท = Beet root, sugarbeet ใช้ทำน้ำตาล เมื่อหยอดสารสกัดด้วยน้ำของบีทรู้ทเข้าจมูกหนูถีบ จักรหลายครั้ง ก่อนหยอดไวรัส H1N1 พบว่าช่วย ป้องกันการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้บางส่วนลดปริมาณเชื้อในปอดหนู ลดอัตราการตายของหนู ยืดเวลามีชีวิตของหนู เมื่อเทียบกับหนูกลุ่มที่ได้รับไวรัสหยอดจมูกอย่างเดียว
1.5 ใบเตย (Pandanus amaryllifolius)
ใบเตยมีสารจำพวกเลกติน (lectin) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นโปรตีน ชื่อ Pandanin ที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อ ไข้หวัดใหญ่ชนิด A (H1N1) อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีค่าความเข้มข้นที่ยับยั้งเชื้อได้ 50% (EC50) เท่ากับ15.63 microM
1.6 สาร Aloe emodin
Aloe emodin = สารแอนทราควิโนน (anthraquinone) ที่พบได้ในยางว่านหางจระเข้ เมื่อนำสาร Aloe emodin มาผสมกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ในหลอดทดลองนาน 15 นาที ที่ 37 องศาเซลเซียส สามารถยับยั้งไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ นอกจากนี้ สาร aloe emodin ยังยับยั้งไวรัสที่ก่อโรคเริม และงูสวัดได้อีกด้วย
1.7 ยี่โถ (Nerium indicum)
สารสกัดด้วยเมทานอล และสารสกัดด้วยเมทานอลกับน้ำของยี่โถมีฤทธิ์ต้านเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ดี โดยมีค่าความเข้มข้นที่ยับยั้งเชื้อได้ 50% (IC50) เท่ากับ 10 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร
2. สมุนไพรกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (Immunomodulator / Immunostimulant
2.1 กระเทียม
2.1.1 Aged Garlic Extract (AGE) มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน AGEเป็นผลิตภัณฑ์กระเทียมเตรียมโดยการแช่กระเทียมที่หั่นหรือสับใน 15-20% แอลกอฮอล์แล้วทิ้งไว้นานมากกว่า 10 เดือน ที่อุณหภูมิห้องแล้วนำมาทำให้เข้มข้น เมื่อให้ AGE ทางปากแก่หนูถีบจักร 10 วันก่อนให้เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แก่หนูโดยการหยอดทางจมูก มีประสิทธิผลในการป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ดีเท่าการให้วัคซีน
2.1.2 ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกระเทียมที่มีสาร allicin มีการศึกษาวิจัยในอาสาสมัคร 146 คน โดยให้กลุ่มควบคุมได้รับยาหลอก และกลุ่มทดลองได้รับกระเทียมรับประทานวันละ 1 แคปซูล นาน 12 สัปดาห์ ระหว่างฤดูหนาว (พฤศจิกายน - กุมภาพันธ์) และให้คะแนนสุขภาพ และอาการหวัดทุกวัน พบว่า กลุ่มที่ได้รับกระเทียมมีโอกาสเป็นหวัดน้อยกว่ากลุ่มยาหลอก และเมื่อเป็นหวัดแล้วหายเร็วกว่า
2.2 โสม (Ginseng)
2.2.1 สารสกัดโสมอเมริกันที่จดสิทธิบัตรแล้ว (CVT-E002) โดยทดลองให้สารสกัดนี้ ขนาด 200 มก. วันละ 2 ครั้งหรือยาหลอกแก่ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่รวมกันหลายคน (institutional setting) จำนวนรวม 198 คน ระหว่างฤดูการระบาดของไข้หวัดใหญ่ (ฤดูหนาวปี 2543 -44) เพื่อศึกษาประสิทธิผลในการป้องกันการป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลัน (Acute Respiratory Illness, ARI) พบว่า อุบัติการณ์ของไข้หวัดใหญ่ที่ได้รับการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการของกลุ่มยาหลอกสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับสารสกัดโสมอย่างมีนัยสำคัญ (7/101 และ 1/97) และการลดลงของความเสี่ยงจากการป่วยด้วยโรค ARI ในกลุ่มที่ได้รับยา CVT-E002 เท่ากับ 89%
2.2.2 สารสกัดโสมอเมริกันที่มี poly-furanosyl-pyranosylsaccharides ทดลองให้สารสกัดนี้หรือยาหลอก วันละ 2 แคปซูลนาน 4 เดือน แก่ผู้ที่เคยป่วยเป็นหวัดอย่างน้อย 2 ครั้งเมื่อปีที่แล้ว โดยเริ่มตั้งแต่ต้นฤดูการระบาดของไข้หวัดใหญ่ โดยใช้ตัวอย่างเป็นกลุ่มได้รับโสม 73 คน กลุ่มยาหลอก 96 คน พบว่า
• จำนวนครั้งที่เป็นหวัดโดยเฉลี่ยต่อคน กลุ่มโสม ต่อ กลุ่มยาหลอก คือ 0.68 ต่อ 0.93*
• อัตราส่วนของคนที่เป็นหวัด 2 ครั้งหรือมากกว่า กลุ่มโสม ต่อ กลุ่มยาหลอก คือ10% และ 28%*
• คะแนนความรุนแรงของอาการหวัด กลุ่มโสม ต่อ กลุ่มยาหลอก คือ77.5 ต่อ 112.3*
• จำนวนวันที่มีอาการหวัดสำหรับการเป็นหวัดทุกครั้ง กลุ่มโสม ต่อ กลุ่มยาหลอก คือ 10.8 ต่อ 16.5 วัน*
2.2.3 Standardized ginseng extract (Ginsana G115) ทดลองให้สารสกัดนี้ในขนาด 100 มก.หรือยาหลอกแก่อาสาสมัคร นาน 12 สัปดาห์ และให้ anti-influenza polyvalent vaccine ในสัปดาห์ที่ 4 จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ พบว่า กลุ่มที่ได้ยาหลอก ป่วยด้วยโรคไข้หวัด/ไข้หวัดใหญ่ เป็น 42/113 คน กลุ่มที่ได้รับโสม ป่วยด้วยโรคไข้หวัด/ไข้หวัดใหญ่ เป็น 15/114 คน ซึ่ง ทั้งสองกลุ่มพบว่าแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และ Natural killer (NK) activity ในสัปดาห์ที่ 8 และ 12 ในกลุ่มที่ได้รับโสม สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอกเกือบ 2 เท่า
2.3 Echinacea มี 3 ชนิด คือ Echinacea purpurea , Echinacea pallida , Echinacea angustifolia ส่วนที่ใช้ คือ ส่วนเหนือดิน (น้ำคั้น) และราก ประกอบด้วยสารสำคัญ ดังนี้
2.3.1 Alkamides พบในรากและดอก พบมากในรากของ E. angustifolia และพบบ้างในน้ำคั้น E. purpurea
2.3.2 Cichoric acid พบมากใน E. purpurea มีฤทธิ์กระตุ้น phagocytosis ถูกสลายด้วยเอนไซม์ในพืช ปริมาณในแต่ละผลิตภัณฑ์แตกต่างกันได้มาก
2.3.3 Polysaccharides พบมากในน้ำคั้นส่วนเหนือดิน พบสารนี้ 2 ชนิดใน E. purpurea มีฤทธิ์กระตุ้น phagocytosis และเพิ่มการสร้างอนุมูลอิสระของออกซิเจนจาก macrophage
2.3.4 Glycoproteins พบมากในรากของ E. purpurea และ E. angustifolia มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของ B cells และ macrophage
โดยสารสกัดแอลกอฮอล์กับน้ำ (aqueous ethanol) ของราก Echinacea purpurea, ราก Echinacea pallida, ราก Baptisia tinctoria, ต้น Thuja occidentalis เมื่อให้หนูถีบจักรได้รับสารสกัดในน้ำดื่ม และหยอดไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ เข้าจมูกหนู พบว่า สารสกัดดังกล่าวช่วย เพิ่มอัตราการรอดตาย (survival rate) เพิ่มระยะเวลาเฉลี่ยที่มีชีวิต (mean survival rate) ลดปริมาณไวรัสในปอด (viral titer) และ ลดการ consolidation ของปอด
การศึกษา Echinacea เปรียบเทียบกับ ฟ้าทะลายโจร
ศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลในการเป็นยาเสริมเพื่อบรรเทาอาการหวัดในเด็ก 130 คน โดยให้กินยา 10 วัน โดยแบ่งเป็น
กลุ่ม A ใช้ยามาตรฐาน กับ ยา Kan Jang (53 คน) เป็นตำรับยาที่มี standardized extract SHA-10 ของฟ้าทะลายโจรอยู่ด้วย
กลุ่ม B ใช้ยามาตรฐาน กับ ยา Immunal (41 คน) เป็นตำรับยาที่มีสารสกัด E. purpurea
กลุ่ม C ยามาตรฐานอย่างเดียว (39 คน) พบว่า ยาเสริม Kan Jang มีประสิทธิผลดีกว่า Immunal โดยพบอาการของโรครุนแรงน้อยกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณน้ำมูก และอาการคัดจมูก ช่วยเร่งให้หายเร็วขึ้น ช่วยลดปริมาณการใช้ยามาตรฐานลง เมื่อเทียบกับ กลุ่ม B & กลุ่ม C

งานวิจัยสมุนไพรกับไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทย

1. ฟ้าทะลายโจร
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Andrographis paniculata
วงศ์ : Acanthaceae
ส่วนที่ใช้ : ใบ หรือส่วนเหนือดิน
สารสำคัญ : สารกลุ่มไดเทอปีนแลคโตน เช่น แอนโดรกราโฟไลด์ นีโอแอนโดรกราโฟไลด์ โดยฤทธิ์ที่พบจากการศึกษาในหลอดทดลองหรือสัตว์ทดลอง ได้แก่ ฤทธิ์ต้านอักเสบ กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ลดไข้ และต้านอนุมูลอิสระ
ประสิทธิผลในการบรรเทาโรคระบบทางเดินหายใจ
• บรรเทาอาการไข้เจ็บคอ ขนาด 6 กรัม/วัน แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง
• บรรเทาอาการหวัด
• ป้องกันหวัด (ยังไม่แน่ชัด)
ศ.นพ.วิษณุ ธรรมลิขิตกุล (2534) วิจัยร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ โรงพยาบาล ชุมชนหลายแห่งให้ผู้ป่วยที่มีเป็นไข้เจ็บคอรับประทานฟ้าทะลายโจรแคปซูลในขนาด 3 ก./วัน หรือ 6 ก./วัน แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง ติดต่อกัน 7 วัน เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาพาราเซตามอลขนาด 3 กรัม/วัน ในวันที่ 3 หลังรักษา ผู้ป่วยที่ได้รับฟ้าทะลายโจรขนาด 6 กรัม/วัน หายจากไข้และอาการเจ็บคอไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ได้รับยาพาราเซตามอล แต่ทั้งสองกลุ่มหายจากไข้และอาการเจ็บคอมากกว่ากลุ่มที่ได้ฟ้าทะลายโจรขนาด 3 กรัม/วันอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ผลการรักษาไม่มีความแตกต่างกันในวันที่ 7 ซึ่งผลงานวิจัยนี้จึงนำไปสู่การบรรจุยาจากสมุนไพรฟ้าทะลายโจรในบัญชียาหลักแห่งชาติสำหรับรักษาอาการไข้เจ็บคอโดยให้รับประทานในขนาด 6 กรัม/วัน แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง
ประสิทธิผลในการบรรเทาอาการหวัด
• ฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน
• ฤทธิ์ต้านอักเสบ
• ฤทธิ์ลดไข้
Hancke และคณะ (2538) ทดลองให้สารสกัดฟ้าทะลายโจรที่มีแอนโดรกราโฟไลด์ (androgra-pholide) 4% ในขนาด 1200 มิลลิกรัมต่อวัน แก่ผู้ป่วยโรคหวัด (common cold) 28 คน แล้ววัดผลใน วันที่ 4 หลังได้รับยา พบว่าสารสกัดฟ้าทะลายโจรสามารถลดอาการเจ็บคอ เหนื่อย อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับยาหลอก 33 ราย โดยไม่รายงานว่าทำให้เกิดอาการข้างเคียงจากการใช้ยา
Caceres และคณะ (2542) ได้ทดลองให้ยาเม็ดฟ้าทะลายโจรซึ่งมีสารสกัด 100 มก./เม็ด ที่มีปริมาณแอนโดรกราโฟไลด์และดีออกซีแอนโดรกราโฟไลด์รวมกันไม่น้อยกว่า 5 มก./เม็ด ครั้งละ 4 เม็ด วันละ 3 เวลา ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด 102 คน เทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก 106 คน โดยให้ผู้ป่วยระบุความรุนแรงของแต่ละอาการเมื่อเริ่มให้ยา และหลังได้รับยา 2 วัน และ 4 วันตามลำดับ พบว่า วันที่ 2 หลังได้รับยา ความรุนแรงของอาการอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เจ็บคอ น้ำมูกไหล ในกลุ่มที่ได้รับยาฟ้าทะลายโจรน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ และในวันที่ 4 หลังได้รับยา ความรุนแรงของทุกอาการได้แก่ อาการไอ (ทั้งความแรงและความถี่) เสมหะ น้ำมูกไหล ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดหู นอนไม่หลับเจ็บคอ ในกลุ่มที่ได้รับยาฟ้าทะลายโจรน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ
องค์การอนามัยโลกจึงได้แนะนำให้ใช้ฟ้าทะลายโจรในการบรรเทาอาการหวัดในเอกสาร WHO monographs of selected medicinal plants Volume 2 ภายใต้ monograph “Herba Andrographidis”
ปัจจุบันมีการใช้ฟ้าทะลายโจรในซีกโลกตะวันตกมากขึ้น จากการศึกษาวิจัยของ Swedish Herbal Institute ทำให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสารสกัดฟ้าทะลายโจรของสถาบันนี้ เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรรักษาโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ และไซนัสอักเสบที่ขายดีที่สุดในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ความนิยมในการใช้สมุนไพรนี้เพื่อรักษาโรคหวัดได้แพร่หลายไปยังประเทศอื่นในซีกโลกตะวันตกแล้ว ทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลียโดยมีการแนะนำสมุนไพรนี้ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นใน website ต่าง ๆ มากมายภายใต้ชื่อสมุนไพร ‘Andrographis’
ขณะนี้ สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกำลังอยู่ในระหว่าง การศึกษาวิจัยทางคลินิก โดยร่วมมือกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี เพื่อประเมินประสิทธิผลในการบรรเทาอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ของฟ้าทะลายโจร
การทดลองใช้ฟ้าทะลายโจรในไก่
นักวิจัยไทยในหน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ และคณะเกษตรศาสตร์และสัตวแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้ศึกษาวิจัยการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรในไก่เพื่อทดแทนยาปฏิชีวนะ หรือใช้เป็น performance enhancer หรือ growth promotor ในไก่มาหลายปีแล้ว พบว่าฟ้าทะลายโจรมีผลบวกต่อไก่ อย่างชัดเจน และมีศักยภาพในการนำมาใช้ทดแทนวัตถุสังเคราะห์ที่เติมในอาหารไก่ (feed additive) ได้ จากรายงานการวิจัย พบว่าฟ้าทะลายโจรสามารถ
• ช่วยเพิ่มอัตราการเลี้ยงรอดของแม่ไก่และเพิ่มความ เข้มของสีไข่แดงในไก่ไข่
• ช่วยให้ระดับภูมิคุ้มกันต่อ IBD virus ในไก่สูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
(IBD = Infectious Bursal Disease เกิดจาก Birnavirus ไปกดภูมิคุ้มกันของไก่ ทำให้ไก่ติดเชื้อโรคฉวยโอกาสได้ง่าย เบื่ออาหาร ผอม ถ่ายเหลว และตายได้)
2. แมงลักคา หรือ Phyto-1
ชื่อวิทยาศาสตร์: Hyptis suaveolens Poit.
ชื่อวงศ์: Lamiaceae (Labiatae)
งานวิจัยของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
• จากการศึกษาในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่าสารสกัดแมงลักคาเข้มข้น 5 มก./มล. สามารถลดการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ H3N2 ของเซลล์เพาะเลี้ยงได้ 93%
• การศึกษาพิษเรื้อรังในหนูขาว พบว่าขนาดที่ใช้เป็นยาไม่ทำให้เกิดพิษในหนูขาว
• จากการวิจัยทางคลินิกระยะที่ 1 เพื่อศึกษาความปลอดภัยของสารสกัด Phyto-1 แคปซูลพบว่ามีความปลอดภัยไม่ทำให้เกิดความผิดปกติในอาสาสมัครสุขภาพแข็งแรง
ขณะนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กำลังดำเนินการศึกษาวิจัยทางคลินิกในผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่อยู่
3. โป๊ยกั๊ก หรือ จันทน์แปดกลีบ (Chinese Star Anise)
โป๊ยกั๊กมีการปลูกอยู่ใน 4 มณฑลของประเทศจีนได้แก่ ฟูเจี้ยน กวางดง กวางสี และยูนนาน และในประเทศเวียดนาม โดยจะเก็บเกี่ยวในเดือนมีนาคม–พฤษภาคม ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตยา Tamiflu ได้ทำสัญญากับ supplier ที่จำหน่ายโป๊ยกั๊กเกือบทั้งหมดในประเทศจีนไว้แล้ว กล่าวกันว่า 90% ผลผลิตโป๊ยกั๊กของจีนในปัจจุบันใช้เพื่อการผลิตยา Tamiflu
การสังเคราะห์ Tamiflu จากสารตั้งต้นในโป๊ยกั๊ก
การผลิตยา Tamiflu หรือ oseltamivir ต้องสังเคราะห์จากสารตั้งต้นชื่อ shikimic acid ซึ่งเป็นสารที่พบมากในพืชสกุล Illicium ซึ่ง “โป๊ยกั๊ก” หรือ Illicium verum Hook. F. ที่มีชื่อสามัญว่า Chinese star anise, star anise เป็นพืชที่เป็นแหล่งสำคัญของสาร shikimic acid การผลิตยา Tamiflu ต้องเริ่มจากกระบวนการสกัดเมล็ดโป๊ยกั๊กที่เหมาะสมเพื่อให้ได้สาร shikimic acid ออกมาในปริมาณมาก ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอน การหมัก (fermentation) การสกัด (extraction) การแยกสาร (isolation) และ การทำให้สาร shikimic acid ที่แยกออกมาได้ มีความบริสุทธิ์ (purification) ก่อนที่จะนำไปใช้ในขบวนการผลิตยา Tamiflu ต่อไป
การกินโป๊ยกั๊กช่วยป้องกันไข้หวัดนกได้หรือไม่ ?
จากการที่การผลิตยา Tamiflu ต้องอาศัยสาร shikimic acid จากโป๊ยกั๊กของจีนเท่านั้น ทำให้เกิดความยากลำบากในการเพิ่มปริมาณการผลิตTamiflu เพราะวัตถุดิบมีปริมาณจำกัดและไม่แน่นอน และมีราคาแพง และจากกระบวนการสกัดสารตั้งต้น จึงได้คำตอบว่า การกินโป๊ยกั๊กไม่ช่วยในการป้องกันไข้หวัดนก
ควรเร่งปลูกโป๊ยกั๊กเพื่อใช้ผลิตทามิฟลูหรือไม่ ?
มีการค้นคิดวิธีการใหม่ในการผลิตยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ เช่น ให้แบคทีเรียผลิต shikimic acid ให้ หรือ ผลิตยาชนิดใหม่ที่ไม่ต้องใช้ shikimic acid ในขบวนการสังเคราะห์ เนื่องจากในอนาคต เชื้อไวรัส ไข้หวัดใหญ่ H5N1 คงจะดื้อต่อยาทามิฟลูทำให้ใช้ไม่ได้ผล จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งปลูกโป๊ยกั๊ก
สถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดนก หรือโรคไข้หวัดใหญ่ในสัตว์ปีก ก่อให้เกิดผลกระทบในทางกว้างทั้งด้านเศรษฐกิจ และการสาธารณสุข มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากไข้หวัดนก มีการทำลายไก่ เป็ด ในพื้นที่เพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโรค มีการตื่นตัวในการศึกษาวิจัยและพัฒนายาต้านไวรัสและการใช้วัคซีน โดยมีมุมมองทั้งตัวยาแผนปัจจุบันและยาแผนไทย โดยเฉพาะสมุนไพรไทยที่จะมีศักยภาพออกฤทธิ์ช่วยยับยั้ง การเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส หรือกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย นับเป็นการเร่งด่วนที่ผู้เกี่ยวข้องจะมีแผนการลงทุนวิจัยด้านสมุนไพรที่พัฒนาเป็นยาแผนไทย เพื่อสามารถนำมาใช้กับผู้ติดเชื้อหรือสัตว์ปีกที่ติดโรคได้ในอนาคตต่อไป.


กินอาหารสุขภาพช่วยต้านไข้หวัด

วิตามินซีช่วยเสริมภูมิต้านทาน
ในช่วงฤดูหนาวนี้หากใครไม่ดูแลสุขภาพให้ดีเท่าที่ควร อาจเผชิญปัญหาสุขภาพได้ง่ายๆ โดยเฉพาะ “ไข้หวัด” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นโรคธรรมดาที่พบกันทั่วไป ประเทศไทยเราเป็นประเทศแถบร้อน ดังนั้น เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวร่างกายเรามักจะปรับตัวไม่ทัน เพราะเคยชินกับอากาศร้อนมากกว่า อย่างไรก็ตาม ไข้หวัดสามารถเกิดได้ตลอดปี ถ้าช่วงไหนร่างกายอ่อนแอ นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ และอากาศเปลี่ยนบ่อย หันไปรอบตัวเราอาจเจอบางคนมีน้ำมูก บางคนไอ จาม ก่อให้เกิดความรำคาญและกังวลว่าวันหนึ่งเราอาจต้องเผชิญกับเชื้อไข้หวัดบ้างก็ได้ เรามีวิธีต้านหวัดด้วยอาหารมาแนะนำ เผื่อจะเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้คุณไม่ต้องพึ่งยาแผนปัจจุบัน แถมอาหารที่แนะนำยังมีสรรพคุณบรรเทาและรักษาอาการหวัดได้ด้วย

เรื่องการรักษาหวัดเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบแน่ชัด ปัจจุบันยังไม่มียารักษาหวัดซึ่งเป็นเชื้อไวรัส จะรักษาตามอาการ แนะนำให้พักผ่อนและดื่มน้ำมากๆ แต่ถ้าภูมิต้านทานดีหวัดจะทำอะไรไม่ได้ การรับประทานวิตามินซีสูงๆ ไม่สามารถป้องกันหวัดได้ เพียงแต่ช่วยลดความรุนแรงของอาการและระยะเวลาของการเป็นหวัดเท่านั้น ไม่ควรรับประวิตามินซีสูงเกินวันละ 1,000 มิลลิกรัม และแบ่งเป็น 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 500 มิลลิกรัม แต่การดื่มน้ำส้มคั้นมากๆจะได้ทั้งน้ำและวิตามินซีที่เพิ่มภูมิต้านทานและลดอาการหวัดได้ นอกจากนี้อาหารที่จะพูดถึงต่อไปนี้ยังช่วยบรรเทาอาการหวัดได้
1.ผลไม้รสเปรี้ยว ในการรักษาหวัดเพียงแค่เสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สูงขึ้น และพระเอกสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายคือ “วิตามินซี” ที่มีมากในผลไม้รสเปรี้ยวเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ ฝรั่ง สตรอว์เบอร์รี่ กีวี มะขาม มะม่วง มะเขือเทศ โดยเฉพาะส้มทุกชนิดนั้นเป็นแหล่งของวิตามินซี ทราบไหมคะว่าส้มหนึ่งผลใหญ่อุดมไปด้วยวิตามินซีถึง 50 มิลลิกรัม ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยว่าทำไมคนที่รับประทานส้มเป็นประจำมักจะไม่เป็นหวัด หรือหากบังเอิญเป็นหวัดก็จะหายได้ในเวลารวดเร็ว
2.ซุปไก่ ในซุปไก่มีกรดอะมิโนตามธรรมชาติชื่อซีสเทอีน มันจะละลายในน้ำเมื่อคุณต้มน้ำซุป ซีสเทอีนที่ว่านี้มีสูตรโครงสร้างทางเคมีคล้ายคลึงกับยาตัวหนึ่งที่ชื่ออะเซทีลซีสเทอีนที่มีฤทธิ์เหมือนยาขับเสมหะ และเป็นยาที่แพทย์ในหลายประเทศนิยม จากการศึกษาวิจัยพบว่าซุปไก่มีฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวชนิดที่เรียกว่านิวโทรฟิลด์ไปยังเนื้อเยื่อปอด ซึ่งจะช่วยลดขบวนการอักเสบในปอดและลดอาการไอได้
3.นมเปรี้ยว แต่ต้องเป็นนมเปรี้ยวที่มีเชื้อแลคโตบาซิลลัส จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สูงขึ้นได้ จากผลการวิจัยระบุว่าการรับประทานโยเกิร์ตวันละ 4 เวลาเป็นประจำทุกวันจะทำให้ระดับภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ยิ่งไปกว่านั้นงานวิจัยยังพบอีกว่าการดื่มนมเปรี้ยวทุกวันจะช่วยลดอาการทุกข์ทรมานจากหวัดละอองฟาง ภูมิแพ้ และร้อยละ 25 เป็นหวัดน้อยลง เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ดื่มนมเปรี้ยวเลยหรือดื่มเป็นบางครั้งบางคราว
4.น้ำอุ่น การดื่มน้ำอุ่นช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ หายใจไม่สะดวกอันเนื่องมาจากโรคหวัดได้ เนื่องจากน้ำอุ่นช่วยขยายเนื้อเยื่อที่กำลังอักเสบหรือหดตัวอยู่ให้คลายโล่งขึ้นได้ ยิ่งดื่มน้ำอุ่นมากๆหรือจิบบ่อยๆจะยิ่งช่วยให้ทางเดินหายใจชุ่มชื้นขึ้น ลดความรุนแรงของอาการ และเสมหะยังถูกขับออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
ยังมีผักสมุนไพรพื้นบ้านตามฤดูหนาวนี้ อย่างสะเดาช่วยแก้ไข้อาการหวัด ทำให้เจริญอาหาร ขี้เหล็กมีสรรพคุณช่วยระบาย ดอกแคแก้ไข้หัวลม ส่วนการเลือกเครื่องดื่มในช่วงหน้าหนาวนี้ควรจะเป็นเครื่องดื่มร้อนๆ เช่น น้ำขิง ชาสมุนไพร เพื่อช่วยให้ชุ่มคอ ลดอาการไอ แก้หวัด ซึ่งป้องกันการเป็นหวัดในช่วงนี้ได้อีกทางหนึ่งด้วย
อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารต้านหวัดเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถทำให้ห่างไกลจากไข้หวัดได้ เพราะสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรายังมีปัจจัยภายนอกอื่นที่ทำให้เราเป็นหวัด ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องทำร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ อย่าหักโหมกับการเรียนหรืองานมากจนเกินไป ควรหาเวลาพักผ่อนดูแลตัวเองและออกกำลังกายบ้าง จะให้เราสามารถหลีกหนีจากโรคภัยนานาชนิด















































สรรพคุณมะนาวแป้นเขียว

สรรพคุณมะนาวแป้นเขียว **ของราคาไม่แพงแต่มีคุณค่ามาก** มะนาวชนิดเดียวมีสรรพคุณหลายอย่าง ใครจะไปนึกว่ามะนาวอย่างเดียวจะรักษาอะไรต่ออะไรได้หลายอย่างขนาดนี้ และหายขาดได้ไม่กลับมาเป็นอีก เช่น
1. ตาต้อเนื้อรักษาให้หายขาดได้ ภายใน 1 เดือน ต้อเนื้อจะไม่กลับมาเป็นอีก
2. กลิ่นตัวหายขาดได้เลย เพียงทำครั้งแรกก็ได้ผล
3. ผมร่วงคัน และหัวเป็นรังแค ใช้มะนาวหมักผมจะไม่ร่วง หยุดร่วง หยุดคัน รังแคหาย ผมนิ่มรื่นมีน้ำหนัก ทำให้ผมดกดำและผมไม่หงอก แต่ถ้าผมหงอกแล้ว จะไม่หงอกเพิ่ม ทำสม่ำเสมอ
4. คันหรือเป็นภูมิแพ้ ไม่รู้จักหาย หาหมอก็ไม่หาย ใช้มะนาวหายขาด
5. ตะปูตำเป็นบาดทะบัก ใช้มะนาวก็หาย แผลสด แผลเป็นหนอง
6. น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ น้ำมันร้อนลวก ใช้มะนาว ไม่พอง ไม่แสบ ไม่ด่าง ไม่เป็นแผลเป็น
7. มีดบาด หรือโดนอะไรเป็นแผล หรือเลือดไหลใช้มะนาวแผลแห้งเร็ว และไม่เป็นแผลเป็น เลือดหยุดทันที
8. มือเท้า น้ำกัดเท้า แพ้ผงซักฟอก มะนาวถูทาหาย
9. ตามัว ตาฟาง หรือคันตา ตาแดง
10. เท้าเหม็น จากการใส่รองเท้า ใช้มะนาวถูกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ก็หายไป รับรองหายเหม็น ไม่เกิน 10 วัน
11. เป็นฝ้าใช้มะนาวถูหน้าไม่เกิน 1 เดือน หายไม่กลับมาเป็นอีก
12. เป็นสิวเป็นฝ้า กระ ด่าง ดำ ผิวแห้งมีริ้วรอย ผิวชุ่มชื่นมีน้ำมีนวลดูสดใส หญิง-ชาย ทำได้
13. เป็นหูด หายขาด มะนาวถูฝ่าเท้าก่อนนอนช่วยปวดเมื่อยขา วิธีทำ ต้องใช้มะนาวแป้นเขียวสดเท่านั้น จึงจะได้ผล ถ้ามะนาวเหลืองไม่ได้ผล ถ้าไม่เข้าใจโทรถามก่อน ยินดีให้คำปรึกษา ถ้าทำไม่ถูกวิธีจะไม่ได้ผล ถ้าทำให้ถูกวิธี และทำเป็นประจำรับรองได้ผล 100 %
1. วิธีทำ กับใบหน้า ทำก่อนนอน ทิ้งค้างคืนถึงพรุ่งนี้เช้า ก่อนทำอาบน้ำให้สะอาด เช็ดตัว เช็ดหน้าให้แห้ง เอามะนาวมาปาด หนึ่งซีกไม่ให้ติดไส้ แล้วถูมือ ถูคอ ถูแขน ถูหน้าอก ถูรักแร้ ถูทั้งตัว ถูตรงที่มีกลิ่นอับชื้นได้ทุกที่ ทำทั้งตัวจะไม่มีกลิ่นเหม็น เอามะนาวซีกที่ถูเสร็จแล้วที่ไม่มีน้ำแล้ว หรือยังมีน้ำอยู่ ให้บีบน้ำทิ้งแล้วกลับเอาอีกด้านในที่มีไส้ออกมา ถูหน้า ถูเบา ๆ ถูจนแห้ง ให้ไส้มะนาวออกมาให้หมด ถูไปจนกว่าหน้าแห้ง พอแห้งแล้วเราก็เอามือลูบใยที่ติดหน้าออก เสร็จวิธีทำแล้วเราก็นอน พรุ่งนี้ล้างออกด้วยอะไรก็ได้ เพียงทำครั้งแรกใบหน้าจะนิ่ม และรื่น ทำทุกคืนก็ไม่เป็นไร ทำหน้าบีบน้ำมะนาวออกให้หมดจึงจะได้ผล มะนาว 1 ลูก ทำ ได้ถึง 3 ครั้ง สำหรับทำหน้าทำทุกคืนยิ่งดี
2. ผมร่วง สระผมทุกครั้งไม่ต้องใส่ครีมนวด สระผมเสร็จเช็ดผมให้แห้งบีบน้ำมะนาว ใส่ถ้วย 3-4 ลูก แล้วแต่ แล้วเอาสำลีจุ่มน้ำมะนาว บีบใส่หนังศีรษะ แล้วนวดหนังศีรษะเบา ๆ นวดให้ทั่วทิ้งไว้ถึงเช้า จึงไปล้างออกด้วยน้ำเปล่า ผมจะหยุดร่วง ถ้าผมยังไม่หงอก ผมก็จะไม่หงอก ผมนิ่มรื่นเป็นมัน
3. วิธีทำ ตาต้อเนื้อ 3 วัน ทำครั้งเดียวสำหรับตาต้อเนื้อ 3 วัน ปาดมะนาว 1 ชิ้น ประมาณเท่าหัวแม่มือพอ หลับตาก่อน ถึงบีบน้ำมะนาวที่หัวตา หลับตาไว้ตลอด อย่าลืมตา แล้วดึงหนังตาไว้ อย่างลืมตานะคะ แสบไม่นาน หลับตาทิ้งไว้ 15 นาที ยิ่งนานยิ่งดี หรือทำก่อนนอนหลับจนถึงเช้า ตาจะสว่างดีมาก ทำทุก 3 วัน ตาต้อเนื้อจะหาย ภายในหนึ่งเดือน และจะไม่กลับมาเป็นอีก หายขาดเลย ถ้าเป็นน้อยไม่ถึงเดือนก็หาย หรือถ้าตาไม่ได้เป็นต้อเนื้อ ตามัว ตาแห้ง ตาคันทำได้ แต่ต้อง 2 อาทิตย์ทำครั้งเดียว ตาจะดีขึ้น 1 อาทิตย์ก็ได้
4. กลิ่นตัวแรง รักษามานานแล้วไม่หายซักที ใช้มะนาวหายขาดไม่กลับมาเป็นอีก วิธีทำ ทำก่อนนอน ปาดหนึ่งซีก ถูกรักแร้ ถูจนพอใจ แล้วทิ้งไว้ถึงเช้า ทำเพียงครั้งแรกกลิ่นก็หายแล้ว มะนาว 1 ลูก ทำได้ถึง 3 ครั้ง ทำก่อนนอน ทำทุกคืนก็ไม่เป็นไร ต้องอาบน้ำให้สะอาดทุกครั้งก่อนทำ
5. เป็นภูมิแพ้ คันไม่รู้จักหาย ทำได้ทุกครั้งเวลาคัน ปาดมะนาวมาถู ๆ ที่ที่คันได้เลย หายคันและไม่กลับมาเป็นอีก
6. น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ น้ำมันกระเด็น บีบน้ำมะนาวใส่ตรงที่เป็นจะเย็นไม่แสบไม่ร้อน ไม่พองไม่เป็นแผลเป็น ถ้าเป็นมากก็บีบใส่หลายครั้ง หรือบีบน้ำมะนาวใส่หลาย ๆ ครั้ง
7. มีดบาด หรือโดนอะไรมา เลือดออก และแผลสด ปาดมะนาวมาถู ๆ แล้วปิดทิ้งไว้ ถ้าแผลใหญ่ก็ปาดหลายชิ้น ปิดทิ้งไว้ เอาผ้าผูกไว้เลือดจะหยุดไหล แผลแห้งเร็ว ไม่เป็นแผลเป็นและไม่เป็นหนอง
8.น้ำกัดเท้า หรือแพ้ผงซักฟอก ปาดมะนาวมาหนึ่งซีกถู ๆ หรือบีบน้ำมะนาวใส่ที่เราถูใส่ก็ได้ ทำจนกว่าจะหาย
9.เป็นหูด เอาที่ตัดเล็บหนีบที่หัวหูด ปาดมะนาวมาถู ๆ แล้วปิดทิ้งไว้ ทำจนกว่าจะหาย หูดหายขาดไม่เป็นอีกเลย
สูตรนี้เจ้าของตำรับได้เสียชีวิตไปแล้ว ! คุณจรัญ จอมทอง ท่านเสียชีวิตเมื่ออายุ 85 ปี ซึ่งเสียเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2550
ในนามของท่านเรียกว่าหมอมะนาว จริง ๆ แล้วท่านบอกว่า มะนาวมีประโยชน์ตั้ง 108 อย่าง น่าเสียดายท่านมาเสียชีวิตก่อน ไม่เช่นนั้น เราคงจะได้สูตรจากท่านถึง 108 อย่าง ท่านใช้มะนาวอย่างเดียว ไม่ว่าใบหน้า ผิวพรรณ ผม หรืออื่น ๆ ท่านทำตั้งแต่อายุ 30 ปี จนถึงท่านเสียชีวิต ผมท่านดกดำเป็นมัน ผิวพรรณสดใส หน้าตาไม่มีริ้วรอยเลย น่าเหลือเชื่อไม่เห็นด้วยตาจะไม่เชื่อเลยว่า ท่านใช้มะนาวได้ผลขนาดนี้ ตัวพี่เองทำได้ผลจริง ๆ แล้วก็บอกใครต่อใครก็ได้ผลจริง ๆ ถ้าใครมีสูตรนี้แล้ว ก็เก็บรักษาไว้ประจำบ้านมีประโยชน์มาก มะนาวอย่าได้ขาดตู้เย็น นะคะ (อ้อลืมบอกแผลเป็นหนองมานานก็หาย) ข้อสำคัญไม่ว่าจะทำอะไรจะต้องเป็นมะนาวแป้นเขียวสด เปลือกเหลืองทำไม่ได้